ข่าว 6 เรื่องควรรู้ ! หลังเกม ลิเวอร์พูล เอาชนะ สเปอร์ส 2-1 พรีเมียร์ลีก 16 ก.ย. 2018
เกือบเสียเรื่องท้ายเกมซะแล้วสำรหับพลพรรค หงส์แดง เมื่อพวกเขามาเสียประตูตีไข่แตกช่วงทดเวลาบาดเจ็บในครึ่งหลัง เคราะห์ยังดีที่พวกเขาต้านเกมรุกของ สเปอร์ส ในเวลาที่เหลือได้ ก่อนจะคว้าชัยชนะ 5 นัดติดได้สำเร็จ ในขณะที่ สเปอร์ส พ่าย 2 นัดรวด
ไปดูกันว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างหลังเกมดังกล่าว
6. เช็คอาการ ฟีร์มิโน
ในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม แฟนบอล ลิเวอร์พูล ถึงคราวร้องซี้ด เมื่อกองหน้าจอมขยันอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ได้รับบาดเจ็บจนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนาม
จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเล้็กน้อย เมื่อ ฟีร์มิโน กับ แฟร์ตองเก้น วิ่งเบียดเอาบอลกันบริเวณริมเส้น ก่อนที่มือของกองหลังเจ้าบ้านจะฟาดเข้าไปที่ตาของ ฟีร์มิโน
จากจังหวะที่ดูไม่มีอะไรมาก แต่กลายเป็นว่าแพทย์สนามของ ลิเวอร์พูล ต้องใช้เวลาดูอาการกว่า 4 นาที ก่อนที่ คล็อปป์ จะตัดสินใจถอดเอา ฟีร์มิโน ออก แล้วส่ง เฮนเดอร์สัน ลงไปแทน
ไม่ใช่ข่าวดีเท่าไหร่ เพราะ ลิเวอร์พูลกำลังจะต้องเจอกับ เปเอสเช ในกลางสัปดาห์นี้ ซึ่งมันก็คาดเดาได้ยากทีเดียวว่าการไม่มี ฟีร์มิโน จะทำให้แนวรุกของ ลิเวอร์พูล ฝืดไปเลยหรือไม่
5. ลิเวอร์พูล ใช้โอกาสเปลือง
ลิเวอร์พูล ทำเกมรุกได้ดีกว่าเจ้าบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย หลาย ๆ ครั้งที่พวกเขาสามารถเอาบอลเข้าเขตโทษได้และมีโอกาสจบสกอร์ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แค่ 2 ประตูเท่านั้นในเกมนี้
ในเกมนี้ หงส์แดง มีโอกาสได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 21 จากจังหวะที่ ดายเออร์ จ่ายบอลพลาดจนโดน ซาลาห์ ฉกไปได้ และทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครตามปีกอียิปต์ทัน แต่ ซาลาห์ ดันยิงไปตรงตัว วอร์ม หน้าตาเฉย
จากนั้นพวกเขามีโอกาสแนว ๆ นี้อีก 2 ครั้ง แต่ มาเน กับ เกอิต้า ก็ยังยิงไปติดเซฟของ วอร์ม ซึ่งอย่างน้อยถ้าบีบให้ วอร์ม ต้องพุ่งเซฟก็น่าจะดีกว่านี้ แต่กลายเป็นว่าทั้งคู่ยิงไปตรงตัว วอร์ม เฉย ๆ
โชคยังดีที่พวกเขาตุนประตูไว้ 2 ลูกก่อนเสียประตูท้ายเกม ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจไม่ชนะนัดที่ 5 ก็ได้
4. กองกลางสุดพังของ สเปอร์ส
สเปอร์ส เคยได้ชื่อว่ามีแผงกองกลางที่น่ากลัวที่สุดทีมนึงในลีก แต่การขาด เดลี อัลลี ไปเพียงคนเดียวก้ไม่น่าจะทำให้ผลงานของพวกเขาเละได้ขนาดนี้
2 ตัวรับอย่าง อีริค ดายเออร์ และ มูซา เดมเบเล เสียบอลหรือไม่ก็จ่ายบอลเสียในแดนตัวเองอยู่บ่อยครั้งซึ่งโชคดีสุด ๆ ที่ไม่เสียประตูจากจังหวะเหล่านั้น ในขณะที่เหล่าตัวรุกก็ไม่สามารถจะเอาบอลเข้าเขตโทษได้เลย เกมนี้เราไม่เห็นการจ่ายบอลอันแม่นยำของ เอริคเซน ในขณะที่ ลูคัส มูรา มีโอกาสได้เลี้ยงทะลวงแนวรับคู่แข่งแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็น่าเสียดายที่ทำได้เช็ดเสาออกหลังไป ส่วน แฮร์รี วิงคส์ ทำได้แต่เป็นตัวเชื่อมบอลไปมาเท่านั้น
หากพวกเขายังหวังที่จะสร้างแรงกดดันให้กับ แมนฯ ซิตี้, เชลซี หรือ ลิเวอร์พูล พวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำให้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะเหล่ากลางรับทั้งหลาย เพราะไม่อย่างนั้น สุดท้ายพวกเขาก็จะทำได้แค่การเป็นไม้ประดับอยู่เช่นเคย
3. ฟาน ไดจ์ค สร้างชื่ออีกครั้ง
หลังจากที่โดน โจ โกเมซ แย่งพิ้นที่สื่อใน 4 เกมแรก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กลับมาทวงบัลลังก์แนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในนัดนี้
กองหลังทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ เป็นสาเหตุที่ทำให้ สเปอร์ส ตัง้ตัวไม่ติดในครึ่งแรก การสวนกลับของเจ้าบ้านแต่ละครั้งไม่สามารถที่จะผ่าน ฟาน ไดจ์ค ไปได้เลย โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ถูกเขาโหม่งสกัดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในช่วงครึ่งหลังเขาก็ยังทำได้ดีในการกัน แฮร์รี เคน ออกไปจากเขตโทษ สกัดบอลจังหวะสำคัญ และสุดท้ายก็ช่วยให้ทีมเก็บ 3 แต้มไปได้อีกครั้ง
กลับกัน โจ โกเมซ ฟอร์มค่อนข้างแกว่งในเกมนี้ โดนทั้ง เคน, มูรา และ ลาเมลา เจาะเข้าไปดื้อ ๆ แต่โชคยังดีที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ ฟาน ไดจ์ค ยังช่วยเขาไว้ได้ ไม่งั้นเจ้าหนูวัย 21 อาจถึงคราวเสียกำลังใจจนกู้ฟอร์มกลับมาไม่ได้อีก
2. ผลเสียของการขาด ยอริส
อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ มิเชล วอร์ม ได้โอกาสลงเล่นใน 2 เกมล่าสุดแล้วทีมก็แพ้รวด แต่หากนายประตูกัปตันทีมของพวกเขายังอยู่ อย่างน้อย สเปอร์ส ก็น่าจะมีกำลังใจมากกว่านี้
มิเชล วอร์ม เซฟได้ดีในหลาย ๆ จังหวะก็จริง แต่เขาก็มีจังหวะผิดพลาดให้เห็นเหมือนกัน เช่นการชกบอลแป้กจนเกือบจะกลายเป็นการเข้าประตูตัวเอง ก่อนที่ ไวจ์นัลดุม จะมาโขกขึ้นนำให้ ลิเวอร์พูล ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา หรือจังหวะที่เขาน่าจะคว้บอลไว้ได้ แต่กลับปล่อยหลุดมือจนโดน ฟีร์มิโน ยิงประตูที่สอง
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด จริง ๆ วอร์ม ไม่ได้มีส่วนผิดกับประตูที่เสียไปโดยตรง แต่อย่างน้อยถ้าเป็น ยอริส มือ 1 ตราไก่ ก็น่าจะทำได้ดีกว่า วอร์ม แน่นอน นี่ยังไม่นับลประโยชน์จากการเป็นกัปตันทีมด้วยนะ
1. ชนะรวด 5 นัดแรกครั้งแรกใน พรีเมียร์ลีก
การชนะติดกัน 5 นัดอาจไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่สำหรับทีมที่ลุ้นแชมป์ แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล แล้ว นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ทำได้ใน พรีเมียร์ลีก และเพิ่งเป็นครั้งที่ 3 เท่านั้นบนลีกสูงสุดอังกฤษ
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของสาวกเดอะค็อป เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าทีมของพวกเขากำลังจะกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้ง และปีนี้พวกเขาก็มีโอกาสสุด ๆ ที่จำทำสำเร็จเป็นครั้งแรก
เหลือแค่ว่าพวกเขาจะยังรักษาฟอร์มร้อนแรงแบบนี้ไปได้ต่อเนื่องอีกนานแค่ไหน เพราะขนาดทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์สมัยของ ร็อดเจอร์ ก็ยังสะดุดขาตัวเองล้มมาแล้ว :ซึ่งเดอะค็อปก็ทำได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่ล้มอีกครั้ง หรือถ้าจะล้มก็ต้องรีบกลับขึ้นมาผงาดให้ได้เร็วที่สุด
ตารางคะแนน
2023-2024
ทีม | แข่ง | คะแนน | |
---|---|---|---|
1 | a7ร์lซนal | 36 | 83 |
2 | llมulชสlตaร์ ciตี� | 35 | 82 |
3 | ลิlวaร์p00l | 36 | 78 |
4 | llอsตัn วิaa7 | 36 | 67 |
5 | สlปaร์ | 35 | 60 |
6 | นิวค7สlซิa U1ulต� | 35 | 56 |
7 | lชazee | 35 | 54 |
ดูทั้งหมด |
2023-2024
ทีม | แข่ง | คะแนน | |
---|---|---|---|
1 | เลเวอร์คูเซ� | 32 | 84 |
2 | บาเยิร์น มิว | 32 | 69 |
3 | สตุ๊ตการ์ต | 32 | 67 |
4 | RB ไลป์ซิก | 32 | 63 |
5 | ดอร์ทมุนด์ | 32 | 60 |
6 | ไอน์ทรัค แฟร | 32 | 45 |
7 | ไฟร์บวร์ก | 32 | 41 |
ดูทั้งหมด |
2023-2024
ทีม | แข่ง | คะแนน | |
---|---|---|---|
1 | อินเตอร์ มิล | 35 | 89 |
2 | เอซี มิลาน | 35 | 71 |
3 | ยูเวนตุส | 35 | 66 |
4 | โบโลญญ่า | 35 | 64 |
5 | อตาลันต้า | 34 | 60 |
6 | โรม่า | 35 | 60 |
7 | ลาซิโอ | 35 | 56 |
ดูทั้งหมด |
2023-2024
ทีม | แข่ง | คะแนน | |
---|---|---|---|
1 | เรอัล มาดริด | 34 | 87 |
2 | คิโรน่า | 34 | 74 |
3 | บาร์เซโลน่า | 34 | 73 |
4 | แอตเลติโก มา | 34 | 67 |
5 | แอธเลติก บิล | 34 | 61 |
6 | เรอัล โซเซีย | 34 | 54 |
7 | เรอัล เบติส | 34 | 52 |
ดูทั้งหมด |
2023-2024
ทีม | แข่ง | คะแนน | |
---|---|---|---|
1 | ปารีส แซงต์ � | 31 | 70 |
2 | โมนาโก | 32 | 61 |
3 | แบรสต์ | 32 | 57 |
4 | ลีลล์ | 32 | 55 |
5 | นีซ | 31 | 51 |
6 | ล็องส์ | 32 | 49 |
7 | โอลิมปิก ลีย | 32 | 47 |
ดูทั้งหมด |
2023-2024
ทีม | แข่ง | คะแนน | |
---|---|---|---|
1 | บุรีรัมย์ ยู | 27 | 62 |
2 | แบงค็อก ยูไน | 27 | 55 |
3 | การท่าเรือ เ | 27 | 52 |
4 | บีจี ปทุม ยู� | 27 | 45 |
5 | เมืองทอง ยูไ | 27 | 43 |
6 | ราชบุรี มิตร | 27 | 35 |
7 | เชียงราย ยูไ | 27 | 33 |
ดูทั้งหมด |