เลวานดี้เหมาเรียบ!เสือเหลืองไม่น้อยหน้าขย่มราชัน 4-1
โอกาสที่ทีมเยอรมันจะเข้าชิงดำกันเองหนแรกมีสูงลิบเลยเมื่อ"เสือเหลือง"ดอร์ทมุนด์ไม่ยอมน้อยหน้าบาเยิร์น มิวนิคไล่ขโยก"ราชันชุดขาว"เรอัล มาดริดอย่างเมามัน 4-1 โดยได้ประตูจากเลวานดอฟสกี้ที่โชว์ฟอร์มขั้นเทพเหมาคนเดียว 4 เม็ดทำให้ทีมได้เปรียบมหาศาลก่อนกลับไปเตะชี้ชะตาที่เบร์นาเบว
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก
วันพุธที่ 24 เมษายน 2556
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 4-1 เรอัล มาดริด
สนาม : ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค
ประตู : 1-0 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ น. 8, 1-1 คริสติอาโน่ โรนัลโด้ น. 43, 2-1 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ น. 49, 3-1 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ น. 55, 4-1 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ น. 67 (จุดโทษ)
ดอร์ทมุนพกสถิติไม่แพ้ใคร 10 เกมติดต่อกันในแชมเปี้ยนส์ ลีกลงสนามโดยนัดสุดท้ายที่แพ้คือการพ่ายมาร์กเซย 2-3 ในรอบแบ่งกลุ่มของปีที่แล้ว
เจอร์เก้น คล็อปป์จัดนักเตะชุดใหญ่ลงสนามครบครันโดยมาริโอ เกิทเซ่ที่เพิ่งตกลงย้ายไปบาเยิร์น มิวนิคในฤดูกาลหน้าได้โอกาสลงสนามด้วย
โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์ยืนเฝ้าเสาเหมือนเดิมโดยมีซูโบติช, ฮุมเมลส์, ปิสซ์เซ็คและชเมลเซอร์เป็น 4 แผงหลัง
แดนกลางอัดกันมา 5 คนโดยเบนเดอร์ได้ลงมาคุมจังหวะแทนเคห์ลกัปตันทีมส่วนคนอื่นๆมีกุนโดกาน, เกิทเซ่, รอยส์และบลาสซีคอฟสกี้และให้เลวานดอฟสกี้ยืนเป็นหน้าเป้า
มาดริดผลงานมาเยือนเยอรมนีย่ำแย่เหลือเกินบุกมา 24 ครั้งได้เฮหนเดียวคือเกมชนะเลเวอร์คูเซ่นเมื่อปี 2000 นอกนั้นเสมอ 6 และแพ้ถึง 17
โจเซ่ มูรินโญ่ยังใจแข็งไม่ส่งอีเคร์ คาซีญาสลงเฝ้าเสาเพราะให้ดีเอโก้ โลเปซทำหน้าที่เหมือนเดิมส่วนแผงหลังให้เหล่านักเตะที่พักมาในลีกา นัดล่าสุดกลับมาลงพร้อมหน้าพร้อมตา
แผงกลางนั้นเคดิร่าได้ลงมาตัดเกมคู่กัลอลอนโซ่โดยมีโอซิล, โมดริชและโรนัลโด้ที่ยิงประตูนอกบ้านในเกมน็อคเอ้าท์ 5 นัดติดลงมาปั้นเกมรุกและกองหน้าใช้บริการของอิกวาอินในวันนี้
ครึ่งแรก
รอยส์โชว์ลากครึ่งสนามโลเปซต้องเซฟ
ดอร์ทมุนด์น่าได้ประตูออกนำเหลือเกินในนาทีที่ 6 จากจังหวะโต้กลับเร็วที่มาร์โค รอยส์ลากบอลมาคนเดียวจากแดนของตัวเองก่อนเข้าไปถึงกรอบเขตโทษด้านซ้ายแล้วพยายามยิงหักข้อไปทางเสาไกลแต่ติดปลายมือของโลเปซนิดเดียวเลวานดอฟสกี้วิ่งเข้ามาตามซ้ำแต่ก็ไม่มีจังหวะยิงแล้ว
เฮก่อนเลย!เลวานดอฟสกี้เข้าฮอร์สไม่เหลือ
แต่แฟนเจ้าบ้านไม่ต้องรอนานเพราะหลังจากนั้นเพียง 2 นาทีเลวานดอฟสกี้ก็แก้ตัวได้สำเร็จเมื่อพุ่งเข้าชาร์จบอลจากลูกโยนยาวด้านซ้ายของเกิทเซ่ผ่านมือของโลเปซเข้าประตูไปทำให้"เสือเหลือง"ขึ้นนำเร็วเลย
มาดริดยังตั้งเกมไม่ติด
เกมผ่านมา 15 นาทีแล้วมาดริดยังตั้งเกมไม่ได้เลยโดย"เสือเหลือง"เป็นฝ่ายครองเกมบุกส่วนใหญ่และในนาทีที่ 16 กุนโดกานต้องเลือดกลบปากเพราะโดนรามอสเข้าปะทะหนักทำให้ต้องออกไปปฐมพยาบาลก่อน
โด้ส่องฟรีคิกได้ลุ้นเหมือนกัน
โอกาสส่องประตูเหมาะเหม็งของมาดริดมีขึ้นในนาทีที่ 24 จากจังหวะฟรีคิกไกลกว่า 35 หลาโรนัลโด้รับหน้าที่สังหารปั่นบอลแรงเข้ากรอบทำให้ไวเดนเฟลเลอร์ต้องตัดสินใจพุ่งทุบออกมาทำให้เจ้าบ้านรอดพ้นอันตรายไปได้
บลาสซีคอฟสกี้ลากเดี่ยวเกือบได้ยิง
แผงหลังของมาดริดทำพลาดอีกแล้วโดยบาสซีคอฟสกี้ได้จังหวะลากหลบโคเอนเทรนเข้ามาจากครึ่งสนามก่อนเข้าไปถึงกรอบเขตโทษด้านขวาแต่จังหวะจะยิงโดนอิกวาอินที่วิ่งลงมาช่วงเกมรับเข้ามาเบียดปะทะเอาไว้ได้ก่อน
เสือเหลืองคุมเกมอยู่หมัด
เกมผ่านมาครบ 40 นาทีทั้งสองทีมยังไม่ยอมเปิดหน้าแลกกันมากเท่าไหร่โดยจังหวะลุ้นยิงประตูแทบไม่มีเพราะพยายามตัดบอลกันในแดนกลางเสียมากกว่าขณะที่โรนัลโด้ก็แทบไม่มีจังหวะกระชากลากเลื้อยให้เห็นเลย
รอยส์สะดุดล้มเองไม่ได้จุดโทษ
นาทีที่ 42 แฟนเจ้าบ้านโห่กันเกรียวเลยเพราะนึกว่าจะได้จุดโทษแล้วจากจังหวะที่รอยส์ลากบอลฝ่ายวารานเข้าไปในกรอบเขตโทษก่อนล้มหน้าคะมำลงไปแต่ไม่มีเสียงนกหวีดจากกรรมการซึ่งภาพช้านั้นก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวล้มลงไปเอง
โดนเลย!ฮุมเมลส์พลาดโด้แปโล่งโจ้ง
ทีมเยือนมาได้เฮเฉยเลยจากจังหวะที่ฮุมเมลส์คืนหลังพลาดทำให้อิกวาอินแย่งไปได้ก่อนลากบอลหลุดเดี่ยวเข้าถึงกรอบเขตโทษด้านขวาแล้วผ่านบอลมาให้โรนัลโด้ซัดเปรี้ยงเข้าไปไม่พลาดเป็นประตูที่ 12 ของเขานำดาวซัลโวแชมเปี้ยนส์ ลีกด้วย
ครึ่งหลัง
อีกแล้ว!เลวานซัดเบิ้ลเสือเหลืองนำอีก
เริ่มครึ่งหลังมาเพียง 4 นาทีเจ้าบ้านก็ได้เฮอีกรอบในจังหวะที่เลวานดอฟสกี้ปาดมารับบอลจ่ายทะลุช่องของรอยส์ตรงเสาแรกแล้วจิ้มบอลเข้าไปง่ายๆท่ามกลางความงุนงงของบรรดานักเตะมาดริดที่มองว่าดาวยิงโปแลนด์น่าจะอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปแล้วแต่ภาพช้าแสดงให้เห็นเลยว่าเขายืนอยู่ในไลน์เดียวกับเปเป้
แฮตทริค!เลวานซัดตูมเสียบใต้คานเลย
สุดยอดจริงๆสำหรับเลวานดอฟสกี้โดยเขาซัดแฮตทริคได้อย่างสวยงามหลังรับบอลจากการสกัดพลาดของกองหลังมาดริดแล้วดึงหลบเปเป้ก่อนอัดเปรี้ยงด้วยขวาบอลพุ่งแสกหน้าของโลเปซเข้าไปทำให้แฟนเจ้าถิ่นเฮสนั่นเป็นประตูที่ 9 ของเขาในแชมเปี้ยนส์ ลีก
โมดริชลองส่องไกล
มาดริดพยายามตอบโต้บ้างโดยโมดริชได้บอลตรงกลางสนามก่อนลากเข้าระยะทำการ 30 หลาแล้วยิงด้วยขวาแต่บอลเบาเหลือเกินไวเดนเฟลเลอร์พุ่งไปเซฟสบายๆ
คึกจริงๆ!กุนโดกานลากไปยิงติดโลเปซ
ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจเลยสำหรับดอร์ทมุนด์และพวกเขาน่าจะได้ประตูที่ 4 ด้วยในจังหวะที่กุนโดกานลากบอลหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษเฉยเลยก่อนยิงเต็มข้อบอลพุ่งเกือบเสยใต้คานอยู่แล้วแต่คราวนี้โลเปซพุ่งปัดไว้ได้ปลายนิ้วทำให้บอลเลยข้ามคานออกไป
เลวานกดโทษอีกคนเดียว 4 เม็ด
นาทีที่ 66 มาดริดมาเสียจุดโทษอีกจากจังหวะที่อลอนโซ่เข้ามาปะทะด้านหลังของรอยส์ที่กำลังพักอกยิงประตูทำให้กรรมการเป่าเป็นจุดโทษทันที
หน้าที่สังหารไม่ใช่ใครอื่นเป็นเลวานดอฟสกี้จัดการตะบันเต็มข้อไปตรงกลางประตูเลยเรียกว่าตาข่ายแทบขาดยังดีที่โลเปซพุ่งไปผิดทางไม่งั้นอาจมีสลบ
เกือบได้ลูก 5!เลวานดี้ปั่นไกลโดนเซฟข้ามคาน
เลวานดอฟสกี้เกือบมายิงประตูที่ 5 เลยจากจังหวะลองส่องไกลระยะ 25 หลากลางประตูร้อนถึงโลเปซต้องบินปัดบอลออกหลังไปในนาทีที่ 79
มาดริดถอดใจเจาะไม่เข้าเลย
เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายมาดริดก็ยังทำเกมบุกกันไม่ขึ้นเพราะดอร์ทมุนด์ลงไปวางเกมรับกันได้ดีจริงๆและดูเหมือนว่าทีมจากสเปนจะถอดใจกันแล้วด้วยเพราะแมตช์นี้ต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้เลย
ก่อนหมดเวลา 2 นาทีไวเดนเฟลเลอร์ต้องลงไปกองกับพื้นเพราะจังหวะออกมาบล็อคลูกที่โรนัลโด้พยายามแหย่ขายิงแต่เขาก็ยังฝืนลุกขึ้นมาเล่นต่อไปได้
ปิดกล่อง!เสือเหลืองนำขาดก่อนบุกสเปน
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บมาดริดมาได้ลูกเตะมุมบอลมาตกตรงเท้าของวารานที่ได้ยิงฮาล์ฟวอลเล่ย์ด้วยซ้ายแต่บอลหลุดเสาไปเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น
สุดท้ายแล้ว"เสือเหลือง"ปิดประตูชนะไป 4-1 กุมความได้เปรียบมหาศาลก่อนบุกไปเยือนถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบวในสัปดาห์หน้า
รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม :
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ : โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์ 7, เนเว่น ซูโบติช 7, มัตส์ ฮุมเมลส์ 5, ลูคัส ปิสซ์เซ็ค 8 (เควิน โกรสครอยต์ซ น. 83), มาร์เซล ชเมลเซอร์ 7, สเวน เบนเดอร์ 7, อิลกาย กุนโดกาน 8 (จูเลี่ยน ชีเบอร์ น. 90), มาริโอ เกิทเซ่ 8, มาร์โค รอยส์ 8, ยาคุ๊บ บลาสซีคอฟสกี้ 7 (เซบาสเตียน เคห์ล น. 82), โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ 10
ตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม : มิตเชลล์ ลันเจรัค, เฟลิเป้ ซานตาน่า, โมริตซ์ ลีทเนอร์, นูริ ซาฮิน
เรอัล มาดริด : ดีเอโก้ โลเปซ 6, ราฟาเอล วาราน 5, เปเป้ 3, เซร์คิโอ รามอส 4 , ฟาบิโอ โคเอนเทรา 5, ซามี่ เคดิร่า 6 , คริสติอาโน่ โรนัลโด้ 6 , เมซุต โอซิล 3 , ชาบี อลอนโซ่ 5 (กาก้า น. 80), ลูก้า โมดริช 4 (อังเคล ดิ มาเรีย น. 68), กอนซาโล่ อิกวาอิน 3 (คาริม เบนเซม่า น. 68)
ตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม : อิเคร์ คาซีญาส, ราอูล อัลบิโอล, นาโช่, โฆเซ่ กาเญฆ่อน