ข่าว 6 เรื่องควรรู้ ! หลังเกม อาร์เซน่อล เอาชนะ นิวคาสเซิล 2-1 พรีเมียร์ลีก 16 ก.ย. 2018

อาร์เซนอล กำลังทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการต่อบอลที่เป็นแท็กติคของ อูไน เอเมรี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังแก้ไม่หายก็คือเกมรับที่มีปัญหา โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างกองกลางกับกองหลังที่มีรูเบ้อเริ่ม

เกนดูซี กับ ชาก้า ยังไม่สามารถที่จะทำให้เกมตรงลางของ อาร์เซนอล นิ่งขึ้นได้ และนั่นทำให้ นิวคาสเซิล สามารถตอบโต้ อาร์เซนอล บริเวณกลางสนามได้บ่อยครั้ง เช่นจังหวะที่ เปเรซ จ่ายทะลุช่องให้ เมอร์ฟี เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน แม้ว่า มุสตาฟี จะเล่นบอลกลางอากาศได้ดี แต่เกมนี้เขากลับประกบตัวพลาดบ่อยในครึ่งหลังโดยเฉพาะท้ายเกม และ 1 ในนั้นก็เป็นประตูด้วย เมื่อเขาปล่อยให้ เคียรัน คลาร์ก โฉบมาทำประตูด้านหลังเขา แถมยังมีจังหวะลื่นล้มจนโดนฉกบอลไปอีก ซึ่งต้องขอบคุณ โซคราติส ที่ยังตามมาช่วยได้ทัน

โดยรวมต้องถือว่า อาร์เซนอล โชคดีที่คู่แข่งเป็น นิวคาสเซิล เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจเป็นฝ่ายตามหลังในครึ่งแรก และอาจไม่ได้ 3 แต้มในเกมนี้

นิวคาสเซิล สู้กับ อาร์เซนอล ได้อย่างสูสีในครึ่งแรก โดยเฉพาะเกมกลางสนามที่ ไอแซค เฮย์เดน และ โม ดิยาเม ปั่นหัว อาร์เซนอล ได้พอสมควรจากความผิพลาดของพวกเขาเอง แต่สุดท้ายแล้ว นักเตะเจ้าบ้านก็ฉวยโอกาสเอาไว้ไม่ได้ 

นิวคาสเซิล ได้โอกาสบุกต่อเนื่องช่วง 15 นาทีแรก และสามารถเอาบอลเข้าเขตโทษ อาร์เซนอล ได้เกือบทุกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาตกม้าตายตลอด และเมื่อลองดูดี ๆ แล้ว พวกเขาพลาดโอกาสทองไปถึง 4 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่แนวรับ อาร์เซนอล ทำพลาดกันไปแล้ว

เปเรซ จ่ายทะลุตัดหลัง เบเยริน ให้ เมอร์ฟี เลี้ยงจี้เข้าเขตโทษได้ แต่จังหวะสุดท้าย เมอร์ฟี กับจ่ายบอลไม่แม่น ทั้ง ๆ ที่ ดิยาเม ยืนโล่งในเขตโทษ

หรือจังหวะที่ อาร์เซนอล เช็คล้ำหน้าลูกครอสของ แม็ต ริทชี พลาด แต่นักเตะ นิวคาสเซิล เข้าชาร์จช้าเกินไป 

หรือจังหวะที่ มุสตาฟี ลื่นล้ม แต่ เมอร์ฟี กลับโดน โซคราติส ที่ออกสตาร์ทช้ากว่าตามมาขโมยบอลไปได้

หรือจังหวะที่ เปเรซ หยอดบอลเข้าเขตโทษผ่าน มุสตาฟี ที่กะจังหวะโหม่งสกัดพลาดไปแล้ว แต่ โฆเซลู ที่ขึ้นเทคตัวโขกคนเดียวกลับทำข้ามคานออกไป

ทั้ง 4 จังหวะดังกล่าวสามารถเป็นประตุได้ทั้งสิ้น แต่ นิวคาสเซิล ก็ทำไม่ได้เอง และทำให้พวกเขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมนี้

กรานิต ชาก้า และ เมซุต เออซิล กลายเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอล อาร์เซนอล เมื่อพวกเขาไม่สามารถงัดฟอร์มที่ดีออกมาได้ใน 4 เกมแรก และเป็นหตุให้ อาร์เซนอล เพิ่งจะมี 6 แต้มเท่านั้นก่อนเกมนี้ อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่แก้ตัวได้สำเร็จในเกมกับ นิวคาสเซิล และทำให้เห็นว่าพวกเขา 2 คนทำอะไรได้บ้าง

กรานิต ชาก้า ออกไปโชว์ฟอร์มแจ่ม ๆ กับทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะกองกลางตัวเติมเกมอิสระ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาต้องมารับบทบาทกึ่งกองกลางตัวรับให้ อาร์เซนอล เขาจึงไม่สามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้เขาโชว์ผลงานได้ดีขึ้น เมื่อ ลูคัส ตอร์เรย์รา ถูกส่งลงสนาม เขาเติมเกมรุกอย่างสบายใจ มีโอกาสวางบอลยาวงาม ๆ 1 ครั้ง และช่วยให้ทีมได้ทั้ง 2 ประตูในเกมนี้ ซึ่งรวมถึงการปั่นฟรีคิกสุดสวยด้วย

ด้าน เมซุต เออซิล ที่มักจะโดนบ่นว่าไม่ค่อยวิ่ง เกมนี้เขาก็ยังไม่ค่อยยิ่งอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือการจ่ายบอลที่เริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น การหุบเข้ามาเล่นตรงกลางของเขาทำให้เขามีช่องในการออกบอลมากขึ้น และเมื่อมีคนคอยรับบอล เกมรุกของ อาร์เซนอล ก็ไหลลื่นขึ้นอย่างชัดเจน และสุดท้ายเขาก็ยิงประตูเยี่ยม ๆ ได้อีกด้วย

กองกลางชาวอุรุกวัยยังคงไม่ได้รับโอกาสให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แต่ก็คงอีกไม่นานนัก เพราะตอนี้เขาทำให้เห็นแล้วว่า การมีเขากับไม่มีเขามันต่างกันอย่างไร

แดนกลางของ อาร์เซนอล ไม่สามารถต้านเกมสวนกลับของ นิวคาสเซิล ได้เลยในครึ่งแรก กรานิต ชาก้า ไม่ใช่คนที่จะลงมาเล่นเกมรับเท่าไหร่ ในขณะที่ มัตเตโอ เกนดูซี มีแต่ความขยัน แต่ขาดประสบการณ์ หลาย ๆ ครั้งที่ เกนดูซี เข้าบอลพรวดจนเสียตำแหน่ง ทำให้เกิดเป็นช่องให้ นิวคาสเซิล โจมตีขึ้นมา

ซึ่ง อูไน เอเมรี ก็คงเห็นปัญหาตรงนี้เหมือนกัน เขาจึงตัดินใจ ถอด เกนดูซี ที่จริง ๆ แล้วก็ทำได้ดีออก แล้วส่งกองกลางตัวรับอย่าง ลูคัส ตอร์เรย์รา ลงสนาม นั่นทำให้เกมของทีมเยือนดูดีจึ้นทันตาเห็น เพราะหลังจากลงไปไม่กี่นาที อาร์เซนอล ก็ได้ประตูขึ้นนำ

ตอร์เรย์รา มจุดเด่นคือการสกัดบอลอันแม่นยำ และสามารถต่อบอลเชื่อมเกมได้อีกด้วย เขาทำให้ กรานิต ชาก้า มีอิสระที่จะเล่นเกมรุกมากขึ้น และช่วยให้ มุสตาฟี กับ โซคราติส เจอภาระน้อยลง 

ไม่แน่ว่าในเกมยูโรป้าลีกกลางสัปดาห์หน้า เราอาจได้เห็น ตอร์เรย์รา ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงบ้าง ยกเว้นแต่ว่า เอเมรี จะเข็นเด็กเยาวชนลงทั้งทีมแบบที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ทำในฤดูกาลที่แล้วน่ะนะ

แม้ว่าจะได้โอกาสลงมาเป็นตัวสำรองท้ายเกม แต่เทพแดนยังพอมีเวลาที่จะโชว์ทักษะออกมาให้แฟนบอลได้เห็น และน่าจะทำให้ โอบาเมย็อง เหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย

เวลเบ็ค ถูกส่งลงมาในนาทีที่ 79 แทน อารอน แรมซีย์ และหลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาเกือบจะทำประตุได้ เมื่อ ลากาแซตต์ จ่ายบอลทะลุช่องให้เขาเบียดกับแนวรับ นิวคาสเซิล จนได้โอกาสจบสกอร์ แต่ไม่ตรงกรอบ

ความแข็งแกร่งของเขาที่เบียดไปกับ ดีอันเดร เยดลิน และ เฟเดริโก้ เฟร์นัันเดซ นั้นยอดเยี่ยมทีเดียว แถมเขายังออกสตาร์ทมาตั้งแต่หน้าเขตโทษของตัวเองอีกด้วย

น่าเชื่อว่าเขาจะยังคงเป็นตัวสำรองอันยอดเยีย่มให้กับทีมต่อไป แต่หาก ลากาแซตต์ กับ โอบาเมย็อง ยังไม่สามารถรักษาฟอร์มให้ต่อเนื่องได้ เราคงได้มีโอกาสเห็น เวลเบ็ค ลงมาเป็นตัวจริงบ้าง โดยเฉพาะในเกม ยูโรป้าลีก นั่นแหละ

​แม้พวกเขาจะออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่สำหรับ นิวคาสเซิล ด้วยการมีเพียง 1 แต้มจาก 5 นัด แต่พวกเขายังพอใจชื้นได้บ้างเมื่อพิจารณาว่า 4 จาก 5 เกมดังกล่าวเป็นการเจอกับท็อปซิกซ์ทั้งหมด

ใช่ นิวคาสเซิล เจอมาหมดแล้วทั้ง สเปอร์ส, เชลซี, แมนซิตี้ และ อาร์เซนอล ในเวลาเพียง 5 นัดแรกเท่านั้น และแม้ว่าจะแพ้รวด พวกเขาก็สามารถรักษาระยะห่างไว้เพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น ด้วยสกอร์ 1-2 เท่ากันทั้ง 4 นัด

แม้จะจบสกอร์กันไม่เข้าเอง แต่ทั้ง 4 นัดส่งสัญญาณให้กับแฟนบอล สาลิกาดง ว่า ถ้าพวกเขามีนักเตะที่คุณภาพดีกว่านี้หน่อย พวกเขาคงลืมตาอ้าปากไปนานแล้ว พกวเขาสู้กับ สเปอร์ส และ อาร์เซนอล ได้อย่างสูสี ยันเสมอกับ เชลซี ได้จนเกือบจะนาทีสุดท้าย หรือการบุกไม่กี่ครั้งใส่ แมนฯ ซิตี้ ก็สามารถทำประตูได้ ทำให้เกมที่แย่จริง ๆ สำหรับพวกเขาก็คงเป็นการเสมอกับ คาร์ดิฟฟ์ 0-0 นั่นแหละนะ

หลังจากนี้ไปอีก 13 นัด พวกเขาจะเจอกับคู่แข่งในท็อปซิกซ์แค่ทีมเดียวเท่านั้นคือ แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนจะไปเจอ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ 19 ของฤดูกาล ซึ่งก่อนจะถึงตอนนั้น ผลงานของ นิวคาสเซิล กับทีมนอกท็อปซิกซ์นี่แหละจะเป็นตัวชี้วัดจริง ๆ ว่า นิวคาสเซิล กับ รฟาฟ เบนิเตซ ยังเหมาะสมที่จะลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ต่อไปหรือไม่