ข่าว 7 เรื่องควรรู้ ! นัดเก็บตก เชลซี, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส และ แมนซิ พรีเมียร์ลีก 10 พ.ค. 2018

ยังไม่หมดเกมนัดที่ 38 ใน พรีเมียร์ลีก ดี แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็สร้างสถิติใหม่ในการยิงประตูได้มากที่สุดในฤดูกาลเดียวที่ 105 ประตู มากกว่าทีมใดๆ ที่เคยทำได้ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

พวกเขายังทำสถิติ คว้าชัยชนะมากที่สุด (31 นัด), ได้แต้มมากที่สุด (97 คะแนน) อีกด้วย

นอกจากนั้น เกมนี้ยังเป็นแมตช์อำลาแฟนบอล ซิตีเซนส์ ของ ยาย่า ตูเร หลังจากรับใช้สโมสรมาอย่างยาวนานถึง 8 ปี

อาจจะเกินความคาดหมายไปสักหน่อยเมื่อ ลีรอย ซาเน เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเขาในฤดูกาลนี้ วิธีการเล่นของเจ้าตัวดูจะมีมิติมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมี เป๊บ กวาร์ดิโอลา เข้ารับตำแหน่งกุนซือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเกมนี้ปีหัวฟูก็ได้แสดงความสามารถดังกล่าวให้เห็นอีกครั้งและมีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมกำชัยเหนือ ไบรท์ตัน สำเร็จ

ประตูของ ซิตี้ ทั้งสามลูกเกิดจากการแอสซิสต์ของดาวเตะ เยอรมนี รายนี้ทั้งหมด ทำให้ ซาเน กลายเป็นนักเตะรายที่ 4 ของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้สำเร็จที่ทำแฮตทริคแอสซิสต์ได้ต่อจาก เฮนริคห์ มคิทาร์ยาน, เควิน เดอ บรอยน์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง 

แอสซิสต์ดังกล่าวยังทำให้เขาทำแอสซิสต์สถิติทั้งฤดูกาลขยับเป็น 15 ครั้งเท่ากับ เดอ บรอยน์ อีกด้วยเช่นกัน

แฮร์รี เคน ยิงได้อีก 1 ประตูในเกมวันนี้ทำให้เขาไล่จี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในตำแหน่งดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก เหลือช่องว่าง 3 ประตู นับเป็นฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกันเข้าไปแล้วที่เจ้าตัวยิงในลีกได้มากกว่า 20 ประตูต่อ 1 ฤดูกาล

และหากยังจำกันได้ เจ้าตัวยังเป็นเจ้าของตำแหน่ง โกลเด้นบูท ของ พรีเมียร์ลีก มาตลอด 2 ฤดูกาลหลังสุดอีกด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเกมแรกของฤดูกาล ใครจะไปคิดว่าทีมที่มาจากการเพลย์ออฟเลื่อนชั้นอย่าง ฮัดเดอร์สฟิลด์ จะชนะคู่แข่งอย่าง พาเลซ ที่มี เบนเตเก้ ถึง 3-0 แถมจบอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีกได้ในสัปดาห์แรก เท่านั้นไม่พอ พวกเขายังเดินหน้าคว้าชัยอีกนัดพร้อมคลีนชีท เท่ากับเล่นไป 2 นัดแบบไม่เสียประตู และยังรักษาจ่าฝูงไว้ได้ ในขณะที่ เชลซี ปีนี้ยังไม่เคยแตะอันดับ 1 เลย

แต่ด้วยอะไรก็ตามแต่ พวกเขาก็เริ่มกลับสู่เส้นทางของน้องใหม่ นั้นก็คือความพ่ายแพ้ ก่อนที่จะเริ่มสะดุดยาวด้วยการไม่ชนะใครติดต่อกันถึง 8 นัด ก่อนที่จะร่วงไปอยุ่ถึงอันดับ 19 

ถึงอย่างนั้น ดาวิด วากเนอร์ ก้ยังได้รับความเชื่อใจให้ทำทีมต่อไป และเจ้าตูบของเราก็เริ่มคืนฟอร์มทีละนิด และตอนนี้พวกเขาก้ได้รับรางวัลเป็นการรอดตกชั้นอย่างยิ่งใหญ่ 

นี่หมายความว่าตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเป็นต้นมา พวกเขายังไม่เคยขึ้นชั้นปุ๊บแล้วตกชั้นปั๊ปเลย ครั้งล่าสุดที่เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้ในฤดูกาล 1969/70 พวกเขาก็สามารถรอดตกชั้นในปีแรกสำเร็จ ก่อนจะไปตกชั้นปีต่อไป

และนั่นแหละตือสิ่งที่อดีตมือขวาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องทำต่อไปในฤดูกาลหน้า โดยเฉพาะการทำให้ 3   นักเตะสำคัญใน 3 ตำแหน่งอย่าง โยนาส เลิสเซิล (ประตู) อารอน มอย (กองกลาง) และ สตีฟ มูนี (กองหน้า) รักษาฟอร์มไว้ให้ได้ 

การจากไปของ อาร์เซน เวนเกอร์ ทำให้ อาร์เซนอล ในฤดูกาลหน้าอยู่ในภาวะที่มีรูปร่างไม่แน่นอน โค้ชใหม่จะเป็นใคร ? เขาจะใช้ระบบไหน ? ใครจะยังอยู่กับทีมต่อไปบ้าง ?

โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุด เหล่านักเตะผู้เป็นตัวหลักในยุคของ เวนเกอร์ เริ่มทะยอยใกล้หมดสัญญาทีละคน ทีชัดสุดตอนนี้ก็คือ กาซอร์ลา กับ วิลเชียร์ โดยรายแรกอาจจะลำบากหน่อยเพราะเขาเจ็บยาวมา 2 ปีกว่า ส่วนรายหลังแม้เจ็บไม่นานเท่า แต่ก็ขึ้นื่อเรื่องกระดูกเปราะเหมือนกัน

กาซอร์ลา มีข่าวว่าทีมเก่าอย่าง บียาร์เรอัล อย่างได้กลับรัง ส่วน วิลเชียร์ มีแฟฟนบอลส่วนหนึ่งให้เป็นกัปตันต่อจาก แพร์ แมร์เตอซักเกอร์ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะลงเอยแบบไหนกันแน่ 

อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือเหล่านักเตะใหม่ที่ได้มาในฤดูกาลนี้ ทั้งที่ซื้อตัวมาและปั้นมาจากอคาเดมี 

การเสีย ชิรูด์ และ อเล็กซิส แลกมากับการได้ ลากาแซตต์, โอบาเมย็อง และ มคิทาร์ยาน ซึ่งทั้ง 3 ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าในวันที่ฟอร์มพีคสุด ๆ พวกเขาคือ 1 ใน 3 ประสานที่อันตรายที่สุดของเวที พรีเมียร์ลีก เลย ปัญหาคือการเข้ามาหใม่ของพวกเขายังทำให้ไม่ค่อยรู้ใจกันเท่าไหร่ และพวกเขาคงหวังว่าจะตามรอยแนวรุกของ แมนฯ ซิตี้ ทีเทพขึ้นในฤดูกาลที่ 2 ล่ะนะ

ส่วนพวกดาวรุ่งก็มีที่เข้าตาอยู่หลายคน พวกที่พิสูจน์ฝีมือไปแล้วอย่าง ร็อบ โฮลดิ้ง, คาลัม แชมเบอร์ส และ เมตแลนด์-ไนลส์ พวกที่ต้องรอปั้นอีกนิดก็ใช้งานได้อย่าง มาฟโรปานอส, เอ็นเคเทียห์ หรือ วิลล็อค พวกนี้สามารถสดมาเป็นตัวจริงของทีมยามที่นักเตะขาดแคลนได้ทั้งสิ้น 

เหลืออย่างเดียวแล้วแหละที่จะทำให้เรื่องต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นว่าอนาคต อาร์เซนอล จะเป็นแบบไหน ก้โค้ชคนใหม่นั่นแหละ

นับจากที่ เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ กับ มาห์เรซ ได้รางวัล PFA นั่นก็ปาเข้าไป 2 ปีเต็มแล้ว และแม้ เลสเตอร์ ซิตี้ จะหลายเป็นทีมกลางตารางใน 2 ปีหลังสุด แต่ 2 สตาร์ของทีมยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง

เจมี วาร์ดี้ ซัดจุดโทษอย่างเฉียบขาดให่ทีมนำ 2-1 และนั่นเป็นประตูที่ 18 ของเขาในลีกฤดูกาลนี้ 22 ประตูจากรายการทั้งหมด และเป็นนักเตะเพียงคนเดียวจากดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก 8 คนแรกที่ไม่ได้มาจากทีมท็อป 6

ด้าน มาห์เรซ ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความพริ้วไหวอยู่ แม้ปีนี้จะโดนดร็อปไปบ้างจากการดื้ออยากย้ายทีมของเขา แต่การแตะหลบ โฮลดิ้ง ก่อนทำประตูในเกมล่าสุดยังแสดงให้เห็นถึงมนต์ขลังของเขา และน่าจะเป็นตัวอันตรายให้กับท็อปทีมจากลีกต่าง ๆ ได้ไม่ยาก ส่วนประตูของเขาก็ขยับไปที่ 11 ประตูแล้ว เท่ากับกองหน้าตัวเป้าอย่าง อัลบาโร โมราต้า ที่ปืนฝืดอีกนัด

แม้ ธิโบต์ กูร์กตัวส์ จะฟอร์มดร็อปลงไปบ้างในฤดูกาลนี้ แต่มือ 1 ทีมชาติเบลเยียมยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเกมรับในทุกฤดูกาลนับตั้งแต่ย้ายกลับมา สแตมฟอร์ด บริดจ์ และการขาดเขาวันนี้ก็มีส่วนทำให้ทีมต้องจบที่เสมอ 1-1 

จังหวะทีมเสียประตูขึ้นนำอาจจะไม่ใช่ความผิดของ วิลลี กาบาเยโร ทั้งหมด แต่การตัดสินใจออกมาของเขาช้าไปเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งนั้่นก็มากพอที่จะทำให้ เดอปัวเตร เพื่อร่วมชาติ กูร์กตัวส์ เข้าถึงบอลก่อนนายทวารชาวอาร์เจนไตน์ นอกจากนี้ กาบาเยโร ยังแสดงอาการให้แฟนบอล เชลซี ได้เสียวอยู่บ่อย ๆ แม้ว่า ฮัดเดอร์สฟิลดื จะมีโอกาสน้อยมากก็เถอะ 

เมื่อพิจารณาจากการตามหลัง ลิเวอร์พูล 2 แต้ม สกอร์ได้เสียตามหลัง 15 ลูก และคู่แข่งของ ลิเวอร์พูล คือ ไบรท์ตัน ที่ยิงเฉลี่ยได้น้อยกว่า 1 ลูกต่อเกม ดูท่าแล้ว เชลซี คงได้ไป ยูโรป้าลีก ในฤดูกาลหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย และหากพวกเขาไล่ คอนเต้ ออกจากตำแหน่งจริง โอกาสที่ กูร์กตัวส์ จะย้ายทีมก็สูงเช่นกัน และนั่นน่าจำทำให้ เชลซี คงต้องห่างจากบอลยุโรปถ้วยใหญ่ไปอีกซักพักเลยทีเดียว